JAS ราคาหุ้นแลกการ์ด ลุ้นบุ๊ก4.5พันล้านคดี NT

Published on 2021-12-13   By ข่าวหุ้น

JAS ราคาหุ้นพุ่ง 5.19% รับแรงซื้อเก็งกำไร หลังวงการสื่อสารชี้มูลค่าต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นลูก JTS ขณะที่โบรกฯ ประเมินราคาหุ้นแลกการ์ด แนะเก็งกำไรให้แนวต้าน 3.26-3.40 บาท ลุ้นบุ๊กเงินสด 4,500 ล้านบาท ยุติข้อพิพาทคดีส่วนแบ่งรายได้สัญญาร่วมลงทุนโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำกับ NT

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2564 ราคาหุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ปรับตัวขึ้นแรง โดยเปิดตลาดที่ราคา 3.10 บาท ระหว่างวันปรับขึ้นสูงสุดที่ราคา 3.28 บาท และปรับลงต่ำสุดที่ราคา 3.08 บาท ก่อนจะมาปิดตลาด 3.24 บาท เพิ่มขึ้น  0.16 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 5.19% เมื่อเทียบราคาปิดวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,194.80 ล้านบาท

แหล่งข่าววงการสื่อสาร เปิดเผยว่า ราคาหุ้น JAS ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดเป็นการปรับตัวขึ้นตามบริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ซึ่ง JAS เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ JTS โดยถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมใน JTS สัดส่วนรวม 50.91% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ JTS (JAS เป็นผู้ถือหุ้น JTS ทางตรง 32.80% และถือหุ้นทางอ้อม โดยผ่านบริษัท เอเซียส รีเยนแนล เซอร์วิส จำกัด 9.06% และบริษัท ที.เจ.พี.เอ็นจิเนียริ่ง 9.05%) โดยขณะนี้ก็ถือว่า undervalue (มูลค่าต่ำเกินไป) เมื่อเทียบกับมูลค่าของ JTS ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาหุ้นที่สูงขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ "เก็งกำไร" หุ้น JAS ราคาเป้าหมาย IAA consensus 3.10 บาท ประเมินราคาหุ้น Laggard บริษัทลูก โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ของ JTS (JAS ถือหุ้น 32.8%) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF (JAS ถือหุ้น 19%) ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมเท่ากับ 38,500 ล้านบาท มูลค่ามากเกินกว่า Market Cap หุ้น JAS ที่ 26,400 ล้านบาท แล้ว พร้อมประเมินแนวรับ 3.04 บาท แนวต้าน 3.14 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ไปได้ ประเมินมีโอกาสฟื้นตัวทดสอบแนวต้านถัดไป 3.26-3.40 บาท (Stop loss 3.0 บาท)

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้น JAS ที่ปรับตัวขึ้น หลังจากราคาหุ้นพักตัวมานาน น่าจะเกิดจากการกลับมาเก็งกำไรความคืบหน้ายุติข้อพิพาทระหว่างบริษัท จัสมิน ซับมารีน เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด หรือ JSTC (JAS ถือ 100%) กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ TOT (ปัจจุบันรวมกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็น บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT) ยอดหนี้คงค้างประมาณ 2,518 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย 7.5%) ซึ่งในเดือน พ.ค. 2562 คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินชี้ขาดให้ JSTC ชนะคดีดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ คาดว่าขั้นตอนการเจรจาประนีประนอมกับ NT จะบรรลุข้อตกลงกันได้ภายในไตรมาส 2/2564 หลัง JSTC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ JAS เตรียมจะเข้าไปเจรจากับ NT ที่อยู่ในฐานะลูกหนี้การค้าของ JSTC ในข้อพิพาทเรื่องการชำระส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาร่วมลงทุนสร้างโครงข่ายเคเบิลใต้น้ำ (ฝั่งตะวันออก) กับ TOT กว่า 10 ปี โดยหาก JSTC เจรจาประนีประนอมข้อพิพาทดังกล่าวสำเร็จ JAS ก็มีโอกาสที่จะบันทึกเงินสดเข้ามาประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากยอดหนี้คงค้างประมาณ 2,500 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยค้างจ่าย 7.5% ต่อปี จนถึงสิ้นปี 2563 อีกประมาณ 2,027 ล้านบาท

ขณะที่ไม่พบว่ามีปัจจัยบวกใหม่ที่จะส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานของ JAS เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2564 คาดว่าจะมีผลขาดทุนลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีผลขาดทุนอยู่ที่ 745 ล้านบาท แต่แย่กว่าไตรมาสก่อน เนื่องจากคาดว่าการปรับปรุงลูกค้า Non-active ที่เป็นหนี้สูญออกในไตรมาสสุดท้าย จะทำให้ฐานลูกค้าสะสมลดลงจากไตรมาสก่อน กระทบรายได้ธุรกิจหลัก ประกอบกับคาดว่าต้นทุนค่าเช่า OFC สุทธิเพิ่มจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน ตามการปรับปรุงสมมติฐานอัตราคิดลดในส่วนสำรองประกันรายได้ค่าเช่า ทำให้ต้นทุนบริการจะเพิ่มขึ้นกว่ารายได้รวม

ดังนั้น ประมาณการทั้งปี 2564 คาดว่า JAS จะมีผลขาดทุนอยู่ที่ 1,938 ล้านบาท แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท เนื่องจากคาดว่าผลการดำเนินงานของ JAS จะขาดทุนต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า จากรายได้ของธุรกิจหลักเติบโตไม่ทันกับผลกระทบของ TFRS 16 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของ TFRS 16 มีแนวโน้มลดลง ประกอบกับบริษัทให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มช่องทางหารายได้ ทำให้คาดว่าผลขาดทุนจะลดลงต่อเนื่องในปี 2565-2566 และมีฐานทุนที่ดีขึ้นเพื่อกลับมาจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง