8สถาบันจ้องเก็บ"JASIF"อัพไซด์สูงรับยีลด์10.5%

Published on 2020-07-08   By ข่าวหุ้น

สถาบันในประเทศ 8 รายมั่นใจ JASIFชี้อัพไซด์สูง 26.38% จากราคาเป้าหมาย 11.43 บาท จ่อปันผลปีนี้ 0.95 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์10.5% สูงกว่าปีก่อน ผู้ถือหน่วยไม่กังวล JAS ขายหน่วยลงทุนออกมา เพราะถือเป็นหุ้นปลอดภัยผันผวนต่ำกว่าตลาดฯ ผลตอบแทนดีกว่า DIF, BTSGIF
          นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด มีมุมมองบวกมากขึ้นต่อปัจจัยพื้นฐานของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF จากการจัดงาน KS C Series ระหว่างผู้จัดการกองทุนของ JAS และลูกค้าฝั่งสถาบันในประเทศ 8 ราย ตัวอย่างเช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC, กลุ่มบริษัทเอไอเอ, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนธนชาต, บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ เป็นต้น
          ทั้งนี้คาดว่าผู้ถือหน่วยลงทุนจะไม่กังวลต่อการขายหุ้นของบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS โดยได้รับส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วย หรือ DPU ที่ 11.51 บาท ระหว่างปี 2563-2565 และมี Downside risk ที่ 9.3% หากเลิกกิจการ
          ดังนั้นจึงแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 11.43 บาท ถือเป็นหุ้นปลอดภัยผันผวนน้อยกว่าตลาดฯ ปัจจัยหนุนราคาหุ้นมาจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะที่สัดส่วนการจ่ายเงินปันผลสูง และต้นทุนของเงินทุน หรือ Weighted Average Cost of Capital (WACC) ที่ลดลง
          ทั้งนี้คาดว่า JASIF จะจ่ายปันผลในอัตรา 0.95 บาทต่อหน่วยในปีนี้ หรือคิดเป็นดิวิเดนด์ยีลด์ 10.5% ซึ่งสูงกว่าปีก่อนที่จ่ายในอัตรา 0.90 บาทต่อหน่วย แม้ว่าปีนี้จะมีหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นมา แต่รายได้มีสัดส่วนที่สูงกว่า และสูงกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท หรือ BTSGIF
          โดยที่ผ่านมา JASIF รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2563 ที่ 2.1 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษครั้งเดียวกำไรธุรกิจหลักในไตรมาส 1/2563 จะอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.2% จากปีก่อน (จากรายได้ค่าเช่าที่สูงขึ้นจากการเข้าซื้อสินทรัพย์รายการล่าสุด เมื่อพิจารณาผลกระทบการลดทอนมูลค่าหุ้น (dilution effect) จะทำให้กำไรต่อหน่วยลงทุนจากธุรกิจหลัก (Core CPU) ในไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 0.26 บาทโตขึ้น 5.3% จากปีก่อน สูงกว่าคาด 1.8% และคิดเป็น 25.5% ต่อประมาณการทั้งปี 2563
          สำหรับทิศทางราคาหุ้นด้วยดิวิเดนด์ยีลด์ที่สูงและอุปสงค์ต่อกลุ่มอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบประจำที่ หรือ Fixed Broadband(FBB) ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันทำให้ราคาหุ้นของ JASIF ปรับลดไปเพียง 6.2% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน หรือ YTD และดีกว่า SET Index (ที่ลดลง 21.2%) และคู่แข่งในประเทศ (ลดลง 7.2%) นักวิเคราะห์คาดว่า ดิวิเดนด์ยีลด์ปี 2563 จะอยู่ที่ 10.5% (เทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 5.8%) และอัตราผลตอบแทนภายใน หรือ internal rate of return (IRR) ที่ 6.94% เทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 5.7%)
          ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อคำแนะนำ “ซื้อ”  คือการแข่งขันในกลุ่มอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบประจำที่ หรือ Fixed Broadband (FBB) ที่กลายเป็นสงครามดันราคาหรือ JAS ถูกซื้อกิจการโดยผู้ประกอบการรายอื่นและกรณีที่ JAS ขายหุ้นที่ถืออยู่ใน JASIF ออกทั้งหมด มูลค่าหุ้นในกรณีเลวร้ายที่สุดอยู่ที่ 7.71 บาทหรือคิดเป็น downside ที่ 14.8% ต่อกรณีฐานที่ 11.43 บาทที่มี upside 26.38%
          ทั้งนี้ JASIF ได้ทำการเพิ่มทุนจำนวน 3.8 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหนี้สิน 1.55 หมื่นล้านบาท และส่วนทุน 2.25 หมื่นล้านบาท และบรรลุข้อตกลงการเข้าซื้อเคเบิลใยแก้วนำแสง (OFC) ระยะทาง 0.8 ล้านคอร์กิโลเมตรและสัญญาเช่าคืนสินทรัพย์ OFC ให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้เช่ารายเดียวอย่าง JAS ขณะเดียวกัน JASIF ก็ประสบความสำเร็จในการต่อสัญญาในส่วนของสินทรัพย์ OFC เต็มออกไปจากปี 2558 เป็นปี 2575