IFAหนุนJASขายทรัพย์ ลุ้นปันผลพิเศษ1.72บาท จ่อบันทึกกำไร6,996-8,500ล้านบาท

Published on 2019-09-11   By ข่าวหุ้น

 ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) หนุน JAS ขายสินทรัพย์ส่วนเพิ่ม เช่าสินทรัพย์ และซื้อหน่วยลงทุน กับ JASIF ชี้เหมาะสม คาดทำรายการเสร็จไตรมาส 4/62 หรือประมาณวันที่ 1 ธ.ค.นี้ จ่อบุ๊กกำไร 6,996-8,500 ล้านบาท ฟาก บล.กสิกรไทยประเมินจ่ายปันผลพิเศษ 1.72 บาท/หุ้น
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) ของบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้จัดทำรายงานความเห็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเกี่ยวกับรายการจำหน่ายไปและได้มาซึ่งสินทรัพย์ของ JAS เพื่อให้ความเห็นต่อผู้ถือหุ้นของบริษัท ก่อนพิจารณาอนุมัติการเข้าทำรายการดังกล่าวในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2562 ในวันที่ 25 ก.ย. 2562 เวลา 10.00 น. ณ ออดิทอเรียม ชั้น 3 อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล
          โดยการจำหน่ายสินทรัพย์ให้ JASIF คือ โครงสร้างพื้นฐานประเภทเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable) เพิ่มเติม จำนวนไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF คิดเป็นมูลค่ารายการประมาณ 38,000 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) นั้น ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเลือกใช้วิธีการประเมินราคาโดยวิธีมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow Approach) ในการพิจารณาความเหมาะสมของรายการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์
          ทั้งนี้ ตามผลการประเมินมูลค่าเส้นใยแก้วนำแสงของทรัพย์สินที่จะทำรายการครั้งนี้อยู่ระหว่าง 35,643.08-39,009.66 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าใกล้เคียงกับมูลค่าที่จะได้รับจากการจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน 38,000 ล้านบาท นอกจากนี้ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระได้คำนวณ NPV หลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนสุทธิของทรัพย์สินเดิมและทรัพย์สินส่วนเพิ่มทั้งกรณีตลอดอายุการใช้งาน 30 ปี NPV มีมูลค่าอยู่ระหว่าง 38,576.37-42,724.99 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับศูนย์ ดังนั้นมีความเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเหมาะสม
          ขณะเดียวกันภายหลังจากการเข้าทำรายการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ คาดว่าบริษัทและบริษัทย่อยจะสามารถบันทึกบัญชีรายการขายทรัพย์สินส่วนเพิ่มแบบที่มีการรับรู้กำไรอันเกิดจากการโอนความเสี่ยงและผลตอบแทนไปยังผู้ซื้อทรัพย์สิน (True sale) ตามมาตรฐานการบันทึกบัญชีที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน โดยบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB จะบันทึกรับรู้กำไร (ก่อนภาษี) จากการขายทรัพย์สินเป็นจำนวน 10,494 ล้านบาท และบริษัทคาดว่าจะบันทึกกำไรจากการขายทรัพย์สินเป็นจำนวนประมาณ 6,996-8,500 ล้านบาท (หลังจากหักรายการกำไรที่ยังไม่รับรู้ในอัตรา 19-33% ตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุนของบริษัทใน JASIF) โดย TTTBB สามารถนำเงินกำไรจากการขายทรัพย์สินมาพิจารณาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทได้ หากบริษัทมีกำไรสะสมเพียงพอ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น
          ด้านการเช่าทรัพย์สินจาก JASIF แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่ (รายการที่ 1) การเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่ม จำนวน 700,000 คอร์กิโลเมตร โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระประเมินมูลค่าด้วยวิธีมูลค่าปัจจุบันสุทธิกระแสเงินสด (Discounted Cash Flow Approach) รวมถึงการได้วิเคราะห์ความไว (Sensitivity Analysis) ซึ่งมีประมาณการ 2 กรณีคือ ตามอายุสัญญาเช่า และตามอายุการใช้งาน OFC จานวน 30 ปีได้ มูลค่าประมาณ 27,411.15-40,793.65 ล้านบาท จึงมีความเห็นว่าการทำรายการที่มีความเหมาะสมอยู่ในช่วงของการจำหน่ายสินทรัพย์ในราคา 38,000 ล้านบาท
          ส่วน (รายการที่ 2) การขยายอายุสัญญาเช่าหลักสำหรับทรัพย์สินเดิมสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ก.พ. 2569 โดยขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 29 ม.ค. 2575 โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระมีความเห็นว่าการประมาณการของการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์กรณีที่ 2 มีระยะเวลา 30 ปี (2562-2592) ซึ่งเป็นกรณีที่นำ EBITDA ของ TTTBB หักด้วยค่าเช่ารวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องสุทธิของทั้งทรัพย์สินเดิม และทรัพย์สินส่วนเพิ่ม โดยเป็นการคำนวณที่ครอบคลุมถึงช่วงเวลาที่มีการขยายอายุสัญญาเช่าหลักสำหรับทรัพย์สินเดิม (2569-2575) เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งการประมาณการของการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์กรณีที่ 2 จะได้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสด 40,574 ล้านบาท ซึ่งมีค่าเป็นบวก ดังนั้นการขยายอายุสัญญาเช่าหลักของทรัพย์สินเดิมไม่ได้ส่งผลเสียหรือมีผลกระทบต่อบริษัท จึงมีความเห็นว่าเป็นการทำรายการที่มีความเหมาะสมสำหรับบริษัท
          ขณะที่ (รายการที่ 3) การให้สิทธิ JASIF ในการต่ออายุสัญญาเช่าหลักออกไปอีก 10 ปี ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระได้ทำประมาณการรายได้ที่จะเกิดขึ้นในปี 2573 รวมถึงการได้วิเคราะห์ความไว (Sensitivity Analysis) เกี่ยวกับอัตราการเติบโตของรายได้ ซึ่งมีโอกาสน้อยมากที่รายได้ปี 2573 เข้าตามเงื่อนไขของรายได้ 40,000 ล้านบาท ทั้งนี้ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระยังมีความเห็นว่าจากเอกสารของ AMR Asia นั้น TTTBB สามารถดำเนินการสร้าง วางสาย และติดตั้งเส้นใยแก้วนำแสงภายในกำหนดเวลา 18 เดือน ในราคาต้นทุนประมาณ 9,480 ล้านบาท บนเส้นทางเดียวกับ JASIF ดังนั้น การที่ TTTBB ไม่ได้ต่ออายุสัญญาเช่าหลักออกไปอีก 10 ปี จะมีผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อบริษัท
          นอกจากนี้ การซื้อหน่วยลงทุนของ JASIF นั้น JASIF จะเพิ่มทุนโดยทุนที่เพิ่มขึ้นจะขึ้นอยู่กับราคาที่เสนอขายหน่วยลงทุนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยใช้วิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหน่วยลงทุนของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ โดยการกำหนดราคาเสนอขายจะเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งบริษัทไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจควบคุม และจำนวนเงินที่บริษัทต้องชำระเพื่อจองซื้อหน่วยลงทุนในสัดส่วน 19-33% คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 4,275.00-16,088.00 ล้านบาท ดังนั้นการได้มาซึ่งหน่วยลงทุนจึงเป็นการทำรายการที่มีความเหมาะสมสำหรับบริษัท
          โดยแหล่งเงินทุนที่เกี่ยวเนื่องกับการเช่าทั้งหมดจะมาจากกระแสเงินสดในการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ส่วนแหล่งเงินทุนสำหรับการจองซื้อหน่วยลงทุน บริษัทอาจพิจารณาใช้เงินกู้ระยะสั้น (Bridge loan) จากธนาคารพาณิชย์มาใช้ในรายการการจองซื้อหน่วยลงทุน และจะชำระคืนเงินกู้ดังกล่าวด้วยเงินที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์ให้แก่ JASIF
          ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะดำเนินการรายการได้มาและจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2562 หรือประมาณวันที่ 1 ธ.ค. 2562
          * ลุ้น JAS ปันผลพิเศษ 1.72 บาท
          บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า แนะนำ "ซื้อ" หุ้น JAS ให้ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท/หุ้น อิงวิธีรวมส่วนธุรกิจ (SOTP) ขณะที่คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษในอัตรา 1.72 บาท จากข้อตกลงการขายสินทรัพย์และเช่าคืนของ JAS
          อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรธุรกิจหลักปี 2562-2564 ต่อไป เนื่องจากคาดว่าการแข่งขันในตลาดบรอดแบนด์จะคงที่ และปรับลดลงในภายหลัง แม้กำไรธุรกิจหลักในไตรมาส 2/2562 ของ JAS ออกมาน่าผิดหวัง สืบเนื่องจากต้นทุนการเพิ่มสมาชิกที่สูงขึ้น และจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับสายใยแก้วนำแสง (FOC)