JASIFจัดปันผล0.23บาท JAS ลูบปากรับเงินกระเป๋าตุง 421.6 ล้านบาท

Published on 2018-02-22   By ข่าวหุ้น
JASIF จ่ายปันผล 0.23 บาทต่อหน่วย สำหรับงวดผลประกอบการไตรมาส 4/60 ขึ้น XD วันที่ 5 มี.ค.นี้ หลัง
          ปี 60 แจ้งผลกำไรเติบโตกว่า 31% ด้าน JAS รับเงินปันผล 421.6 ล้านบาท ตามสัดส่วนที่ถือหุ้น 33.33% ใน JASIF ส่งผลทั้งปีรับเบ็ดเสร็จ 1.67 พันล้านบาท
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบอร์ดแบนอินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.23 บาทต่อหน่วย สำหรับรอบผลประกอบการระหว่าง 1 ตุลาคม–31 ธันวาคม 2560 และกำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD หรือผู้ถือหุ้นไม่ได้รับสิทธิในเงินปันผล วันที่ 5 มีนาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 มีนาคม 2561
          ก่อนหน้านี้ JASIF ได้มีการจ่ายเงินปันผลในไตรมาส 1/2560 จำนวน 0.24 บาทต่อหน่วย ไตรมาส 2/2560 จำนวน 0.23 บาทต่อหน่วย และไตรมาส 3/2560 อีก 0.21 บาทต่อหน่วย เมื่อรวมกับไตรมาส 4/2560 เท่ากับว่า JASIF ได้จ่ายเงินปันผลรวม 4 ไตรมาส จำนวน 0.91 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7-8%
          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ที่ถือหุ้นอยู่ใน JASIF สัดส่วน 33.33% ได้จ่ายเงินปันผลงวดไตรมาส 4/2560 จำนวน 421.6 ล้านบาท และเมื่อรวมกับเงินปันผลของปี 2560 นั้น JAS ได้รับรวมจำนวนทั้งหมด 1,668.16 ล้านบาท
          ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันก่อนหน้านี้ JASIF ได้รายงานผลประกอบการของ JASIF ที่ผ่านการตรวจสอบจากผู้รับบัญชีอนุญาตแล้ว มีกำไรสุทธิ 7,148.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีกำไรสุทธิ 5,454.6 ล้านบาท เปลี่ยนแปลง +31%
          สาเหตุมาจากกองทุนมีกำไรสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุน ซึ่งเกิดจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน โดยวิธีพิจารณาจากรายได้ (Income Approach) จากผู้ประเมินทรัพย์สินอิสระจำนวน 1,705 ล้านบาท ในขณะที่งวดเดียวกันปีก่อน กองทุนมีกำไรสุทธิที่ยังไม่เกิดขึ้นจากเงินลงทุนจำนวน 310 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,395 ล้านบาท
          ทั้งนี้ กำไรของ JASIF ถือว่ามากกว่าที่ตลาดฯได้คาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้
          สำหรับ JASIF ยังมีประเด็นน่าติดตามคือ การจะซื้อสินทรัพย์เป็น Fiber 980k ที่มูลค่า 5.5 หมื่นล้านบาท ที่อายุการเช่า 15 ปี หมดอายุปี 2575 ถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่เพราะเท่ากับตอน IPO ครั้งแรก และสัดส่วนประมาณ 40% ของการใช้เงินลงทุนจะมาจากการกู้เงินกับธนาคารที่ต้นทุนการเงิน 4.5-5% จึงมีข้อดีคือ ทำให้ WACC ปรับลดลงเป็น 7.8% จากเดิมที่ 8.6%
          อีกทั้งมีโอกาสที่จะได้ยืดอายุสัญญาเช่าเดิมไปเป็น 15 ปี จากปัจจุบันที่เหลืออายุ 8 ปี ยังผลให้ราคาพื้นฐานที่ประเมินด้วยวิธี DCF มีการปรับขึ้นเป็น 13.40 บาท เทียบกับเดิมที่เพียง 11.20 บาท ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีก 10% เทียบกับราคาพื้นฐานใหม่
          บล.ดีบีเอสฯ คาดว่า อัตราผลตอบแทนจะอยู่ที่ 7% ในช่วง 12 เดือนแรกก่อนที่จะเพิ่มเป็น 10% หลังจากได้รับการส่งมอบจนครบ 980k ด้านการต่ออายุสัญญาเช่าเดิมยังไม่ชัดเจน แต่ทางกองทุนฯอาจใช้วิธีต่อรองราคาการซื้อสินทรัพย์ในมูลค่าต่ำลง หากไม่ได้ต่ออายุสัญญาเช่าเดิม พร้อมปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” หลังปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 13.40 บาท
          ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.24 เท่า จากเดิมไม่มีหนี้ แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ต่ำเทียบกับการที่ กองทุนสาธารณูปโภคจะสามารถกู้ได้จนอัตราส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า