โบรกเพิ่มเป้าราคาJASIF ดันสินทรัพย์ใหม่เข้ากอง

Published on 2017-09-07   By ข่าวหุ้น
 โบรกฯปรับเพิ่มเป้าหมายราคา 3 กองทุน JASIF  DIF และ  WHART  หลังดันสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุน และแนวโน้มรายได้พุ่ง JASIF เพิ่มเป็น 12.5 บาท จาก 11.9 บาท  DIF ซื้อสินทรัพย์โทรคมนาคมเข้ามาเพิ่ม ปรับขึ้นเป็น 16.7 บาท จาก 16.3 บาท  WHART กองทุนรีทใหญ่ที่สุดในประเทศ ปรับเป้าราคาใหม่เป็น  11.50 บาท  จาก 10.4 บาท
          ล่าสุดบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต ปรับเพิ่มเป้าหมายราคากองทุน  3 กองทุน ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF  กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF และ  ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท หรือ WHART หลังมีสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนและรายได้ที่เพิ่มขึ้น
          โดยปรับเป้าราคา JASIF เป็น 12.5 บาท จาก 11.9 บาท   เนื่องจาก JAS มีเป้าหมายที่จะขายสินทรัพย์เข้า JASIF เพิ่มเติม โดยสินทรัพย์ปัจจุบันของ JASIF คือเคเบิลใยแก้วนำแสง 980,000 คอร์กิโลเมตร (OFC) ซึ่งบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) (TTTBB) (JAS ถือหุ้นอยู่ 99%) ขายเข้า JASIF ในเดือนกุมภาพันธ์ 2015 และในเดือนเมษายนปีนี้ ผู้ถือหุ้นของ JAS มีมติให้ขาย OFC 980,000 กิโลเมตร (มูลค่าตามบัญชีรวมของสินทรัพย์เท่ากับ 4.1 พันล้านบาท) เข้า JASIF อีก ซึ่งปัจจุบันธุรกรรมนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
          JAS คาดว่าดีลนี้จะแล้วเสร็จในต้นปีหน้า JAS มีแผนที่จะเช่ากลับสินทรัพย์ดังกล่าวและยังคงดำเนินธุรกิจบรอดแบนด์ที่มีอยู่เช่นเดิม JAS ระบุว่าจะใช้เงินที่ได้จากการลงทุนใน JASIF เร่งลงทุนใน Fiber-To-The-Home (FTTH) เพิ่มเติมไปอีก, ชำระหนี้คืน และจ่ายปันผลพิเศษ
          พร้อมทั้งปรับเป้าราคา DIF เพิ่มขึ้นเป็น 16.7 บาท จาก 16.3 บาท แนะนำ "ซื้อ"  เนื่องจากปรับมาใช้ประมาณการปี 2018 เป็นปีฐาน ราคาเป้าหมายของจึงเพิ่มขึ้น 2% เป็น 16.7 บาท ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยชะลอออกไป DIF จึงยังคงน่าสนใจ ด้วยให้ dividend yield 7% นอกจากนี้ TRUE ยังมีแผนที่จะขายเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงเข้ากองฯ เพิ่มเติมอีกด้วย
          กำไรปกติครึ่งปีแรกของ DIF ออกมาตามที่คาด และด้วยเริ่มเห็นรายได้ค่าเช่าจาก DTAC และ DIF มีดีลให้เช่าเสาโทรคมนาคมเพิ่มเติมในอนาคต กำไรของ DIF จึงน่าจะเติบโตแข็งแกร่ง 3-5% แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเพิ่มขึ้นก็ตาม และด้วยเราปรับมาใช้ประมาณการปี 2018 เป็นปีฐาน
          เนื่องจากสินทรัพย์อ้างอิงของ DIF เพราะส่วนใหญ่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในประเทศที่กำลังเติบโต  และ DIF ยังคงให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ 7% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนอื่นที่ทำบทวิเคราะห์และ มีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าปกติของอุตสาหการม เนื่องจาก DIF ยังคงต้องการซื้อสินทรัพย์โทรคมนาคมเข้ามาเพิ่มเติม และกองทุนเปิดกว้างเพื่อลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมทั้งหมด แต่ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่หนักหน่วงและกลยุทธ์ asset-light strategy ของ TRUE เราจึงเชื่อว่าเป้าหมายที่น่าจะเป็นมากที่สุดคือ เสา 2G 7500 เสา และ fiber-to-home network ของ TRUE มูลค่ารวมประมาณ 40-50 พันล้านบาท
          นอกจากนี้ยัง แนะนำ "ซื้อ"  WHART ปรับเป้าราคาใหม่เป็น  11.50 บาท  จาก 10.4 บาท โดยบริษัทได้ปรับ EPS ปี 2018-19F ขึ้น 5-8% เพื่อสะท้อนการเข้าซื้อกอง WHAPF ด้วยการแลกหุ้น และการขายสินทรัพย์จาก WHA เข้ากองฯ ซึ่งเรามองว่าเป็นการเพิ่ม yield ให้สูงขึ้น และคาดว่า WHART จะให้ dividend yield ที่ 7-8% ในปี 2017-18 ปรับคำแนะนำสำหรับ WHART เป็น "ซื้อ" ราคาเป้าหมายใหม่ 11.5 บาท
          ผู้ถือหุ้นของ WHART ได้อนุมัติการเข้าซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ WHAPF ใน 4Q17 โดย WHART จะออกหุ้นใหม่จำนวน 991.8 ล้านหุ้น (เกิด dilution 51%) ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ WHAPF ในอัตราแลกเปลี่ยน  WHAPF 1 หน่วย ต่อ WHART 1.0562 หน่วย ซึ่งหลังจากซื้อ WHAPF WHART จะกลายเป็น REIT ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีขนาดสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 2.3 หมื่นล้านบาท  เราชอบสินทรัพย์ของ WHAPF เนื่องจากมีคุณภาพที่ดี ด้วยมีอัตราการเช่าเกือบเต็มตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2011 ซึ่ง 80% ของสินทรัพย์ของ WHAPF คือโกดังสินค้าให้เช่าและที่เหลือประกอบด้วยโรงงานให้เช่าสัญญาระยะเวลา โดย 70% ของ สินทรัพย์เป็นสินทรัพย์ประเภท freehold
          นอกจากการเข้าซื้อ WHAPF ใน 4Q17 แล้ว WHART ยังมีแผนที่จะซื้อโกดังสินค้าและโรงงานให้เช่า (พื้นที่ 85,867 ตร.ม.) จาก WHA ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ระยอง และชลบุรี โดยเงินลงทุนจะมาจากการกู้ยืมราว 3.1 พันล้านบาท และจากนั้น เราคาดว่า WHART จะเพิ่มทุนทุกปีเพื่อนำเงินมาซื้อสินทรัพย์ใหม่จาก WHA บริษัทแม่เข้ากองฯ  ที่ 2.8 พันล้านบาทต่อปี ในปี 2018-19 และ 1.3 พันล้านบาท ต่อปี จากปี 2020-28F ซึ่งหมายความว่าขนาดสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นจาก 4.2 พันล้านบาท ในปี 2014 เป็น 47 พันล้านบาท ในปี 2028
          คาดว่าจะให้ yield ที่ 7-8% ในปี 2018-19F เนื่องจากการเข้าซื้อข้างต้น คาดว่า yield ของ WHART จะเพิ่มขึ้นเป็น 7-8% ในปี 2018-19F จาก 6% ในปี 2017 โดยสมมติให้อัตราการเช่าอยู่ที่ 92-95% ในปี 2017-19 ซึ่งหากสมมติว่าสินทรัพย์ที่จะขายเข้ากองในอนาคต 70% เป็น freehold และ  30% เป็น leasehold คาด IRR ของ WHART จะอยู่ที่ 8.8%
          และปรับประมาณการกำไรปกติของ WHART ขึ้น 5-8% ในปี 2018-19 เพื่อสะท้อนการซื้อ WHAPF และอัดฉีดสินทรัพย์จาก WHA เข้ากองฯเนื่องจากหนี้ของ WHA หลังแผนขายสินทรัพย์ในปีนี้จะลดลงเหลือ 1.2 เท่า เราจึงปรับลดสมมติฐานการขายสินทรัพย์ของบริษัทฯ เข้า WHART ลงในปี 2018-19 ราว 29-41% และด้วยปรับมาใช้ประมาณการปี 2018 เป็นปีฐาน ราคาเป้าหมายจึงปรับขึ้นมาอยู่ที่ 11.5 บาท (จาก 10.4) ปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ WHART เป็น "ซื้อ" จาก ถือ ขณะที่มองว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ WHART มีความน่าสนใจมากขึ้นที่ 7-8% ในปี 2018-19 และคาดว่าจะให้ IRR สูงถึง 8.8% นอกจากนี้เรายังชอบสินทรัพย์ของ WHART ด้วยส่วนใหญ่เป็นโกดังสินค้า โดยเฉพาะโกดังที่สร้างตามความต้องการของลูกค้า โกดังสินค้าถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าโรงงานให้เช่า