JASลูบปากรับปันผล JASIFจัดให้440ล้าน

Published on 2017-05-08   By ข่าวหุ้น

 JAS ปูเสื่อรอรับเงินปันผลจาก JASIF กว่า 440 บาทต่อหน่วย หลังนักวิเคราะห์คาดงวดไตรมาส 1/60 ปันผล 0.24 บาทต่อหน่วย พร้อมแนะซื้อหุ้น JASIF เป้าหมาย 13.00 บาท และอาจปรับราคาเพิ่ม หากโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนแล้วเสร็จ ขณะที่ผลตอบแทนปัจจุบันของกองทุนฯ อยู่ที่ 8.7% ต่อปี
          นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง ระบุว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ได้รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 1/60 ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ และทำให้คาดว่า JASIF จะมีการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.24 บาทต่อหน่วย สำหรับงวดไตรมาส 1/60 นี้
          ทั้งนี้ หาก JASIF จ่ายเงินปันผลในอัตราดังกล่าว จะทำให้ JAS หรือ บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ถือหุ้นอยู่ใน JASIF 1.83 พันล้านหุ้น คิดเป็น 33.33% ได้เงินเงินปันผลกว่า 440 ล้านบาท และจะถูกบันทึกในไตรมาส 2/60
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ JASIF ได้มีการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยต่อไตรมาสอยู่ที่ 0.22–0.23 บาทต่อหน่วย ดังนั้น หากครั้งล่าสุดนี้ มีการจ่ายปันผลในอัตรา 0.24 บาทต่อหน่วยจะถือว่า เป็นจำนวนมากที่สุดสำหรับการปันผลรายไตรมาส
          นอกจากนี้ หากนับจากมีการจัดตั้งกองทุนนั้น JASIF ได้มีการจ่ายเงินปันผลรวมแล้ว 8 ครั้ง จำนวนเงิน 1.64 บาทต่อหน่วยลงทุน และมีการจ่ายคืนเงินลดทุนทั้งสิ้น 2 ครั้ง เป็นจำนวนเงิน 0.1247 บาทต่อหน่วยลงทุน รวมเป็นเงินจ่ายคืนผู้ลงทุนทั้งสิ้น 1.7647 บาทต่อหน่วยลงทุน นับตั้งแต่กองทุนเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2558
          นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุอีกว่า JASIF ได้รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 ที่ 3.41 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหน่วยเท่ากับ 0.62 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 175.2% จากไตรมาส 1/59 และ 107.6% จากไตรมาส 4/59
          และหากไม่รวมรายการพิเศษ ได้แก่ กำไรที่ยังไม่ได้รับรู้จริงจากการตีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจำนวน 2.045 พันล้านบาท กำไรหลัก (หรือเงินสดเหลือสำหรับการจ่ายเงินปันผล) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.37 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% และ 2.5% ตามลำดับ หากเทียบเป็นรายไตรมาส และกำไรสุทธิสูงกว่าคาด 155% เพราะรายการกำไรพิเศษข้างต้น กำไรหลักถือว่าเป็นไปตามที่คาดก่อนหน้า
          ทั้งนี้ ในเดือน มี.ค. 60 กองทุนได้ว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระมาทำการประเมินมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์เส้นใยแก้วนำแสงจำนวน 9.8 แสนคอร์กม. ให้เป็นมูลค่ายุติธรรมใหม่ซึ่งได้มูลค่าใหม่ที่ 57,996 ล้านบาท กองทุนจึงได้ทำการรับรู้เป็นกำไรพิเศษที่ไม่ใช่เงินสดจากการตีมูลค่าสินทรัพย์ใหม่ในครั้งนี้
          กำไรพิเศษดังกล่าวจะไม่ผ่านไปให้กับผู้ถือหน่วยในรูปของเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 10.71 บาทต่อหน่วย ณ สิ้นไตรมาส 1/60 กองทุนยังไม่ได้ประกาศจ่ายเงินปันผล ณ ตอนนี้
          “คาดว่าเงินปันผลต่อหน่วยมีแนวโน้มอยู่ที่ 0.24 บาทต่อหน่วยสำหรับในไตรมาส 1/60 โดยใช้สมมติฐานอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 95% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 2.3% สำหรับในไตรมาสนี้” บล.บัวหลวง ระบุ
          บล.บัวหลวง มองด้วยว่า รายได้ค่าเช่าของ JASIF ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.44 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% จากไตรมาส 1/59 และ 2% จากไตรมาส 4/59 โดยคำนวณรวมผลกระทบเต็มไตรมาสของการโอนสินทรัพย์เข้ามาครบตามจำนวนที่ระดับสูงสุด TTTBB ได้ทำการโอนเส้นใยแก้วนำแสงครบตามจำนวนที่ 9.8 แสนคอร์กม.ไปแล้ว ณ สิ้นปี 2559
          ดังนั้นจึงไม่มีการโอนสินทรัพย์เพิ่มเติมแต่อย่างใดอีกแล้วในไตรมาส 1/60 ในขณะที่อัตราค่าเช่าไม่เปลี่ยนแปลง รายได้ค่าเช่าสุทธิอยู่ที่ 1.38 พันล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ซึ่งได้แก่ ค่าซ่อมบำรุงเส้นใยแก้วนำแสง 52 ล้านบาท ค่าสิทธิในการพาดสาย 7 ล้านบาท และค่าประกัน 1 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 95.8%
          นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ JAS ได้อนุมัติให้ TTTBB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JAS ทำการขายเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มเติมไม่เกิน 9.8 แสนคอร์กม.เข้ากองทุน JASIF ภายในระยะเวลา 3 ปี และให้ TTTBB ทำการเช่าเส้นใยแก้วนำแสงกลับจาก JASIF ภายใต้สัญญาเช่าหลัก (80% ของคาปาซิตี้ใหม่) เป็นเวลา 12-15 ปี และสัญญาเช่ารอง (20% ของคาปาซิตี้ใหม่)
          ที่ประชุมยังอนุมัติให้ JAS เข้าจองซื้อหน่วยลงทุนใหม่ของ JASIF ในสัดส่วนไม่เกิน 33.33% หาก JASIF สามารถใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้เพื่อซื้อเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มเติม ขนาดของการเพิ่มทุนก็จะมีแนวโน้มลดลง เราเชื่อว่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่มขึ้นจะสร้างมูลค่าเพิ่มสุทธิให้กับ JASIF เนื่องจากกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนที่เพิ่มขึ้นจะกลบผลกระทบของจำนวนหน่วยที่ออกใหม่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มทุน หรือการออกเงินกู้ใหม่
          บล.บัวหลวง ระบุอีกว่า ได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2560 เพิ่มขึ้นอีก 37% หรือมาอยู่ที่ 7.55 พันล้านบาท เนื่องจากการคำนวณกำไรพิเศษดังกล่าวข้างต้น 2 พันล้านบาทเข้าไปในประมาณการ แต่ยังคงประมาณการกำไรหลักปี 2560 ไว้เท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และจะทำการคำนวณรวมผลกระทบของการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้าไปในประมาณการของบล.บัวหลวง และจะทำการปรับราคาเป้าหมายของเราใหม่สำหรับ JASIF ทันทีที่รายละเอียดของขนาดกองทุนที่ขยายเพิ่มขึ้น สัดส่วนและขนาดของการเพิ่มทุน รวมถึงการออกเงินกู้ใหม่มีความชัดเจนมากขึ้น
          โดยภาพรวม เชื่อว่าการโอนสินทรัพย์ใหม่เข้ากองทุนในครั้งนี้จะนำไปสู่เงินปันผลที่ให้กับผู้ถือหน่วยปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้น จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13 บาท เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงมากถึง 8.7% สำหรับในปี 2560 ถ้าเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยของตลาดฯ ซึ่งอยู่ที่ 3% ในปี 2560 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะเวลา 10 ปีซึ่งอยู่เพียงแค่ 2.7%