JASจ่อฟาดกำไรหมื่นล้าน ลูกขายสินทรัพย์ให้JASIF ผู้ถือหุ้นเตรียมลุ้นรับเงินปันผลพิเศษ

Published on 2017-02-22   By ข่าวหุ้น

ลูกขายสินทรัพย์ให้JASIF
          ผู้ถือหุ้นเตรียมลุ้นรับเงินปันผลพิเศษ
          “JAS” จ่อฟันกำไรพิเศษ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท รับข่าวดีบริษัทลูก TTTBB ขายสินทรัพย์เส้นใยแก้วนำแสง 9.8 แสนคอร์กิโลเมตรให้แก่ JASIF มูลค่า 5-7 หมื่นล้านบาท ชงผู้ถือหุ้นอนุมัติ 27 เม.ย.นี้ พร้อมลุ้นจ่ายปันผลพิเศษในอนาคต
          รายงานจากบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยว่า ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท 20 ก.พ. 2560 ได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มจำนวนไม่เกิน 980,000 คอร์กิโลเมตรของบริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTTBB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นปี 2560 พิจารณาในวันที่ 27 เม.ย. 2560
          ทั้งนี้ TTTBB จะเสนอขายเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มจำนวนประมาณไม่เกิน 980,000 คอร์กิโลเมตรให้แก่ JASIF คาดจะมีมูลค่าประมาณ 50,000-70,000 ล้านบาท ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทจึงมีมติเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเข้าทำรายการขายทรัพย์สินส่วนเพิ่มให้กับ JASIF และที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติมอบหมายให้นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JAS หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากนายพิชญ์ มีอำนาจดำเนินการใดๆ ที่จำเป็นหรือเกี่ยวเนื่อง ตลอดจนกำหนด ต่อรอง รวมถึงรายละเอียดใดๆ ที่เกี่ยวเนื่องต่อการทำธุรกรรมนี้
          นอกจากนี้ TTTBB จะเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มจาก JASIF เพื่อใช้ทรัพย์สินส่วนเพิ่มในการดำเนินธุรกิจต่อไป โดยการเช่าเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มจะมีระยะเวลาเช่าเบื้องต้น 12 ปี ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวใกล้เคียงกับระยะเวลาเช่าเส้นใยแก้วนำแสงเดิมที่ทำไว้กับ JASIF ในครั้งแรก อย่างไรก็ตามระยะเวลาการเช่าสุดท้ายต้องเจรจากับ JASIF ซึ่งอาจต้องเท่ากับอายุของใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สามของ TTTBB ซึ่งสิ้นสุดที่ 29 ม.ค. 2575 หรือประมาณ 15 ปี นับจากปัจจุบัน
          โดยอัตราค่าเช่าเริ่มต้นจะเท่ากับอัตราค่าเช่าทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงเดิมที่มีผลอยู่ ณ วันที่การเช่าทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มเริ่มต้นขึ้น คาดว่าการปรับขึ้นค่าเช่าเป็นไปในลักษณะเดิม คือ ปรับขึ้นตามอัตราการเปลี่ยนแปลงดัชนีผู้บริโภคแต่ไม่เกิน 3% ต่อปี
          ส่วนการทำธุรกรรมการเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มอยู่บนเงื่อนไขว่า TTTBB สามารถบันทึกบัญชีธุรกรรมการเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มในลักษณะสัญญาเช่าดำเนินงาน ตามมาตรฐานการบันทึกบัญชีที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งธุรกิจการเช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มมีมูลค่าประมาณ 34,400-59,700 ล้านบาท
          นอกจากนี้ บริษัทจะจองซื้อหน่วยลงทุนส่วนที่จะออกเพิ่มเติมตามที่ JASIF มีมติเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 33.33% ของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งธุรกรรมจองซื้อหน่วยลงทุนคาดมีมูลค่าประมาณ 16,667-23,333 ล้านบาท ทั้งนี้ ในการที่ JASIF จะเข้าซื้อทรัพย์สินส่วนเพิ่มจาก TTTBB ทาง JASIF อาจจะพิจารณาระดมทุนด้วยการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน และ/หรือพร้อมกับออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติมเพื่อนำเงินมาซื้อเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มนี้
          อย่างไรก็ตาม หาก JASIF สามารถทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน มูลค่าของการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนจะน้อยลงไปกว่า 50,000-70,000 ล้านบาท และมูลค่าที่บริษัทต้องจองซื้อหน่วยลงทุนจะน้อยกว่ามูลค่าข้างต้นและไม่เกิน 33.33% ของการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนทั้งหมดที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้
          ขณะที่วัตถุประสงค์ในการใช้เงินที่ได้รับจากการจำหน่ายสินทรัพย์ เช่น จ่ายปันผลบางส่วนให้ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลจะมีเงื่อนไข คือ บริษัทจะต้องมีผลกำไรสะสมที่เพียงพอ และต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในกรณีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และ/หรือจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นในกรณีเงินปันผลประจำปี
          อีกทั้งนำเงินไปใช้ในการขยายธุรกิจบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องของบริษัท รวมถึงคืนเงินกู้ระยะสั้นที่นำมาใช้จองซื้อหน่วยลงทุนของ JASIF การชำระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมในการเข้าทำธุรกิจข้างต้นทั้งหมด นอกจากนี้ ยังชำระคืนหนี้สินของบริษัทและ/หรือบริษัทย่อยที่มีอยู่ เป็นต้น
          *ลุ้นฟันกำไร-ปันผลพิเศษ
          ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุด JAS และ JASIF ได้แจ้งถึงการพิจารณาเบื้องต้นในการเข้าลงทุน และการให้เช่าทรัพย์สินส่วนเพิ่มกับ TTTBB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JAS ขนาดรายการ 5-7 หมื่นล้านบาท โดยหากอิงการขายสินทรัพย์ในอดีต คาดทำให้มีโอกาสเกิดกำไรในอนาคตในระดับ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.92-2.24 บาท/หุ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเก็งกำไรในการขายสินทรัพย์
          ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า JAS เตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง JASIF รอบ 2  50,000-70,000 ล้านบาท เบื้องต้นคาดจะเงินนำที่ได้ ไปจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบันราว 1.4 หมื่นล้านบาท และอาจนำเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายเป็นเงินปันผลพิเศษ ซึ่งอาจก่อให้เกิดกระแสเก็งกำไรราคาหุ้นขึ้นได้
          ส่วนในระยะยาวภาพรวมของการดำเนินธุรกิจในระยะยาวยังดูไม่สดใสนัก จากแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจอินเทอร์เน็ตที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ คือ ADVANC และTRUE ที่มีศักยภาพสูงกว่า ได้ทยอยขยายตัวและเบียดแย่งลูกค้าไป ทำให้ฝ่ายวิจัยมีโอกาสปรับลดประมาณการกำไรปกติของ JAS ในปี 2560-2561 จากประสิทธิภาพการทำกำไรที่แย่กว่าคาด
          นอกจากนี้ ภายหลังการดำเนินการขายทรัพย์สินเข้า JASIF เพิ่มเติมและ JAS กลับไปเช่าใช้งาน (1 ใน 3 ของทรัพย์สินที่ขายเข้ากอง)  ซึ่งจะเพิ่มภาระค่าเช่าระยะยาวอีก 6,000-7,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การหารายได้มาชดเชยน่าจะยังทำได้ไม่ทันค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้น