เกาะติดหุ้นเพิ่มทุน"จัสมิน-ทีเอฟดี"เปิดเทรด

Published on 2017-01-12   By กรุงเทพธุรกิจ
วันนี้ (12 ธ.ค.) หุ้นเพิ่มทุนของบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) JAS และบริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) TFD จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลังจากที่ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิเพิ่มทุนไปก่อนหน้านี้
          ในส่วนของ จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นหุ้นเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิแปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิ (JAS-W3) จำนวน 294.12 ล้านหน่วย แปลงเป็นหุ้นสามัญจำนวน 323.82 ล้านหุ้น โดยราคาใช้สิทธิอยู่ที่ 3.904 บาท ต่อหน่วย ขณะที่ราคาหุ้นของจัสมินตาม ราคาตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ราว 8.3 บาท
          ส่วน ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม เป็นการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 3.34 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ จำนวนรวม 347.41 ล้านหุ้น ราคาจองซื้ออยู่ที่ 2 บาท โดยราคาหุ้นตามราคาตลาดของทีเอฟดี ก็สูงกว่าราคาจองซื้อเช่นกัน ล่าสุดอยู่ที่ราว 2.3 บาท
          หลังจากหุ้นเพิ่มทุนเข้าทำการซื้อขายแล้ว จึงเป็นที่น่าจับตามองเกี่ยวกับการซื้อขาย หุ้นที่จะเกิดขึ้น เพราะหากพิจารณาแล้ว จะเห็นว่าผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิเพิ่มทุนต่างมีส่วนต่างกำไรแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นอาจจะมีแรงเทขายทำกำไรส่วนต่างเกิดขึ้น ขณะที่ราคาหุ้นในกระดานอาจจะเกิดผลกระทบจากจำนวนหุ้นที่เข้ามาเทรดเพิ่มขึ้นหรือ ไดลูชั่น  รวมทั้งต้องยอมรับหุ้นที่2 บริษัท มีแรงเก็งกำไรหนาแน่นในช่วงก่อนหน้านี้
          สำหรับผู้ถือหุ้นที่ใช้สิทธิเพิ่มทุนหุ้น จัสมิน มีส่วนต่างในราคาแล้วกว่า 110%จากราคาปัจจุบัน ขณะที่ผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนของ ทีเอฟดี มีส่วนต่างราคาแล้วประมาณ 15% สุดท้ายแล้วหากมีแรงขายทำกำไรในส่วนของหุ้นเพิ่มทุนออกมาจริง อาจจะมีผลกระทบต่อราคาในกระดานอยู่บ้าง เพราะตั้งแต่เปิดปี 2560 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ผ่านมาอยู่ที่วันละ 32.6 ล้านหุ้น ขณะที่หุ้นเพิ่มทุนมีกว่า 300 ล้านหุ้น
          ส่วนทีเอฟดีมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 4.8 ล้านหุ้นต่อวัน เทียบกับปริมาณหุ้นเพิ่มทุน กว่า 300 ล้านหุ้น แล้วค่อนข้างต่ำกว่ามาก
          ทั้งนี้ หุ้นเพิ่มทุนส่วนมากน่าจะอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยโครงสร้าง ผู้ถือหุ้นใหญ่ของจัสมิน ปัจจุบัน พิชญ์ โพธารามิก ถือหุ้นกว่า 66%  ส่วนที่เหลือถือหุ้นโดย ไทยเอ็นวีดีอาร์ กว่า 3% และเป็นผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 1% ซึ่งก่อนหน้า จัสมิน ได้ตัดสินใจ ลดทุนจดทะเบียนลง โดยการตัดหุ้นที่ ซื้อคืนจำนวน 1.2 พันล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนราว 16% ของหุ้นทั้งหมด ทำให้จัสมินเหลือหุ้นรวม 5.93 พันล้านหุ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีเอฟดี ถือหุ้นโดยตระกูลเตชะอุบล เกือบ 50%
          ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของทั้ง 2 บริษัท ก่อนหน้านี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยราคาหุ้นจัสมินเมื่อปี 2559 ปรับตัวขึ้น ต่อเนื่องจากราว 3 บาท ไปแตะจุดสูงสุดที่ 10.2 บาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 240% ก่อนจะลดลงมาซื้อขายที่ราว 8 บาท ขณะที่ราคาหุ้นทีเอฟดี เพิ่มขึ้นจากราว 2 บาท ไปแตะจุดสูงสุดที่ 4.06 บาท เพิ่มขึ้น 103% ก่อนจะร่วงลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 2.3 บาท
          ในเชิงของผลประกอบการงวด 9 เดือน 2559 จัสมินมีรายได้ 13,067 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,075 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนค่อนข้างมาก เนื่องจากปี 2558 บริษัทมีรายได้และกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แต่หากเทียบจากปี แต่หากเทียบกับปี 2557 บริษัทมีกำไรลดลงราว 13% ส่วนทีเอฟดี ยังคงมี ผลขาดทุน 236 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก งวดเดียวกันปีก่อนที่ 135 ล้านบาท ส่วนปีก่อนทั้งปีบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 278 ล้านบาท