JAS หุ้นสุดจี๊ดจ๊าดใต้บังเหียน "พิชญ์ โพธารามิก"

Published on 2017-01-04   By ไทยโพสต์

 ในวงการตลาดหุ้นไทยช่วงปี 2559 ที่ผ่านมา มีเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะฮอตยิ่งกว่าความผันผวนของดัชนีหุ้น นั่นก็คือ "พิชญ์ โพธารามิก" หนุ่มใหญ่ไฟแรง เจ้าของ บมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ที่ออกมาตั้งโต๊ะซื้อหุ้นคืน 1,200 ล้านหุ้น จนทำให้ราคาหุ้น JAS ปรับขึ้นจนเกินราคาที่ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่ 7.25 บาท โดยระหว่างที่มีข่าวจนถึงปัจจุบัน เคยทำราคาสูงสุดไปถึง 10.20 บาท เรียกได้ว่าร้อนแรงจริงๆ
          ต้องขอเท้าความถึงความร่ำรวยของตระกูล "โพธารามิก" ที่ในปี 2546 ได้ปรากฏในชื่อของพิชญ์ โดยพิชญ์ถือหุ้น JAS 27.23% ไม่นับรวมหุ้น วอร์แรนต์ JAS-W 41.45% รวมแล้วขณะนั้น พิชญ์มีทรัพย์สินกว่า 2,600 ล้านบาท
          นอกจากนี้ พิชญ์ยังก่อตั้ง "โมโน กรุ๊ป" ในปี 2545 โดยเริ่มธุรกิจ Venture Capital มาตั้งแต่กระแสดอทคอมกำลังมาแรงในช่วงแรก โดยการใช้เงินทุนซื้อกิจการทำให้โมโนมีเว็บไซต์ดังในมือหลายค่าย ทั้ง mthai.com, yenta4.com, enjoy108.com, mono2u.com, hotelthailand.com และ monoplanet.com ซึ่งปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ได้ปิดตัวไปบ้างแล้ว รวมถึงธุรกิจภาพยนตร์ในชื่อ "โมโนฟิล์ม" สร้างภาพยนตร์ให้มีชื่อเสียง ขณะเดียวกัน ก็ดับลงได้เหมือนกัน อีกทั้งค่ายเพลง "โมโนมิวสิค" มีค่ายเพลงในสังกัดคือ บัซซ์ มิวสิค และสตูดิโอโตโม่
          และในนาทีนี้ ธุรกิจที่โดดเด่นที่สุดของโมโน กรุ๊ป ต้องยกให้ MONO29 สถานีโทรทัศน์ดิจิตอลในนาม "โมโน บรอดคาซท์" ที่มีความแข็งแกร่งด้านคอนเทนต์ ผ่านการทุ่มเงินแย่งชิงซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์และซีรีส์ จนทำให้มีปัญหากับค่ายใหญ่ที่ทำธุรกิจซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เพื่อฉายในไทยมาก่อน
          โดยลิขสิทธิ์คอนเทนต์มากมายที่ได้มาถูกนำไปต่อยอดบนบริการภาพยนตร์ออนไลน์ "ดูหนังดอทคอม" (Doonung.com) ภายใต้โมโนฟิล์ม นอกจากนี้ บางเรื่องออกฉายที่โรงภาพยนตร์ และหลายเรื่องถูกนำไปออกอากาศบนสถานีโทรทัศน์ดิจิตอล MONO29 ทำให้เป็นที่ชื่นชอบแก่เหล่าบรรดาคอหนังในช่วงวันหยุดอยู่บ้านเป็นอย่างมาก
          ด้วยธุรกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้ปี 2556 พิชญ์ถูกจัดให้เป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ 3 จากอันดับ 18 เมื่อปี 2555 โดยถือครองหุ้นรวมมูลค่าทั้งสิ้น 26,481.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,327.08 ล้านบาท หรือ 270.12%
          ขณะที่ JAS ยังฮือฮาในช่วงปลายปี 2558 กับการชนะประมูลคลื่น 900 MHz ในชุดที่ 1 คลื่น 895-905 MHz คู่กับคลื่น 940-950 MHz ด้วยราคา 75,654 ล้านบาท เรียกได้ว่าช่วงนั้นเป็นน้องใหม่ไฟแรงที่ใจถึงมาก และในช่วงนั้นก็เป็นที่จับตาของสังคมไทยว่า JAS มีที่มาที่ไปยังไง "พิชญ์ โพธารามิก" กลายเป็นบุคคลที่อยากมีคนทำความรู้จัก และจับตาว่าจะเริ่มทำอะไรกับคลื่น 4G
          แต่แล้ว JAS ก็กลับมาเปรี้ยงอีกครั้ง ด้วยการเบี้ยวจ่ายค่าใบอนุญาต โดยบริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด (JASMBB : บริษัทย่อย 100%) ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขก่อนได้รับใบอนุญาตของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชนะการประมูล
          จากนั้น พิชญ์แจ้งว่า JASMBB ไม่สามารถนำหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินจำนวนประมาณ 72,000 ล้านบาท มามอบให้แก่สำนักงาน กสทช.ได้ เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศจีน ซึ่งสนใจร่วมลงทุนใน JASMBB และได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งของประเทศจีน ติดข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาในการขออนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน
          ในที่สุด JAS ยอมทิ้งใบอนุญาต และจ่ายค่าปรับ 600 ล้านบาท แต่ไม่ได้ทำให้สถานะของ JAS สั่นคลอนแต่อย่างใด จากนั้นเอไอเอสก็ได้ครองใบอนุญาตนี้ไป
          หลังจากข่าว JAS เริ่มเลือนหายไปจากวงการ ก็ได้กลับมาเปรี้ยงอีกครั้งในช่วงกลางปี 2559
          โดยพิชญ์เป็นผู้ยื่นทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดเตรียมคำเสนอซื้อหลักทรัพย์และเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินสำหรับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ภายในวงเงินไม่เกิน 42,500 ล้านบาท เพื่อทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ JAS และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ (วอร์แรนต์) ทั้งนี้ ได้กำหนดราคาที่ทำคำเสนอซื้อหุ้นอยู่ที่ 7.25 บาทต่อหุ้น และ 3.68 บาท ต่อใบสำคัญแสดงสิทธิ JAS-W3 โดยกำหนดระยะเวลาทำคำเสนอซื้อระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-3 พ.ย.2559
          สำหรับจำนวนหลักทรัพย์ที่จะเสนอซื้อ โดยผู้ทำคำเสนอซื้อมีหุ้นอยู่จำนวน 1,844,046,870 หุ้น และบริษัทมีหุ้นซื้อคืนอยู่จำนวน 1,200,000,000 หุ้น ซึ่งเหลือจำนวนหุ้นที่จะเสนอซื้อ 4,091,732,612 หุ้น ส่วนผู้ทำคำเสนอซื้อมีใบสำคัญแสดงสิทธิ JAS-W3 จำนวน 553,944,543 หน่วย และเหลือจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิ JAS-W3 ที่จะเสนอซื้อจำนวน 2,733,604,634 หน่วย
          ช่วงนั้นยังมีกระแสข่าวลือว่าการที่พิชญ์ตั้งโต๊ะซื้อหุ้นคืน เพื่อจะนำไปขายต่อให้กับรายใหญ่ โดยมีโผทั้ง บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) และ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น (TRUE) แต่พิชญ์ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลืออีกตามเคย
          ปัจจุบันพิชญ์แจ้งจำนวนหลักทรัพย์ที่ถือภายหลังการรับซื้อ โดยมีจำนวนหุ้นทั้งหมด 4,295.24 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 72.35% และใบสำคัญแสดงสิทธิ JAS-W3 จำนวน 1,983.29 หน่วย หรือสัดส่วน 36.78%
          ล่าสุด จะทำการลดทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โดยการตัดหุ้นจดทะเบียนที่ซื้อคืน และดำเนินการลดทุนจดทะเบียนต่อกระทรวงพาณิชย์ต่อไป ส่งผลให้ทุนจดทะเบียนใหม่มีจำนวน 5,940 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท มูลค่ารวม 2,970 ล้านบาท จากเดิมที่มีจำนวน 7,140 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.50 บาท มูลค่ารวม 3,570 ล้านบาท
          เห็นได้ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้กับ "พิชญ์ โพธารามิก" เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของวงการหุ้นที่ไม่ได้ว่างเว้นจากกระแสเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ พิชญ์จะมีลูกเล่นอะไรอีกไหม และปี 2560 จะมีเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า ต้องตามลุ้นกันต่อ.