"พิชญ์"เปิดหมดเปลือก ยันไม่ขายหุ้นJASออก ไม่ควบกิจการกับใคร-จ่อนำหุ้นซื้อคืนมาลดทุน

Published on 2016-09-22   By ข่าวหุ้น
 ยันไม่ขายหุ้นJASออก
          ไม่ควบกิจการกับใคร-จ่อนำหุ้นซื้อคืนมาลดทุน
          “พิชญ์” เปิดใจหมดเปลือก ประกาศทำเทนเดอร์หุ้น JAS และ JAS-W3 รวมถึงช้อนซื้อหุ้นในกระดาน เหตุต้องการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น JAS ให้มากขึ้น มองธุรกิจบรอดแบนด์อนาคตยังสดใส ยืนยันไม่มีแผนขายหุ้นหรือควบรวมกิจการกับใคร พร้อมเล็งนำหุ้นซื้อคืน 1,200 ล้านหุ้นมาตัดลดทุนเหมือนในอดีต
          นายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ “หนังสือพิมพ์ข่าวหุ้นธุรกิจ” แบบหมดเปลือก ถึงกรณีการตัดสินใจทำเทนเดอร์หุ้นสามัญในราคา 7.25 บาท และและใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 3 หรือ JAS-W3 ในราคา 3.68 บาทต่อหน่วยว่า ตนเองต้องการเพิ่มสัดส่วนถือครองหุ้น JAS ให้มากขึ้น และยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้น JAS ที่ถืออยู่ในมือออกมาให้กับผู้ประกอบการรายอื่น รวมถึงไม่มีแผนที่จะควบรวมกิจการกับพันธมิตรรายใดอย่างแน่นอน
          โดยการที่ตัดสินใจประกาศทำเทนเดอร์หุ้นสามัญของ JAS ในราคา 7.25 บาท และ JAS-W3 ในราคา 3.68 บาทต่อหน่วย รวมถึงที่ผ่านมายังได้เข้าซื้อหุ้น JAS เพิ่มเติมโดยตรง เพราะตั้งใจเพิ่มสัดส่วนถือหุ้น เนื่องจากมองเห็นถึงโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของ JAS ในอนาคต ประกอบกับการมีหุ้นมากขึ้นยังทำให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงขึ้นตามไปด้วย
          ทั้งนี้ ยืนยันว่า แม้ราคาหุ้น JAS และ JAS-W3 ในกระดานล่าสุดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเกินระดับทำเทนเดอร์แล้ว แต่กระบวนการทำเทนเดอร์ที่ได้ประกาศไว้ยังจะคงเดินหน้าต่อไป โดยจะเข้าสู่กระบวนการยื่นคำเสนอซื้ออย่างเป็นทางการในช่วงวันที่ 28 ก.ย. 2559 จากนั้นน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 3 วันทำการเข้าสู่กระบวนการเทนเดอร์
          “การทำเทนเดอร์ครั้งนี้ คือ ความตั้งใจของผมที่มีความต้องการจะเพิ่มสัดส่วนการถือครองในหุ้น JAS มากขึ้นกว่าเดิม เพราะผมเชื่อมั่นว่าธุรกิจบรอดแบนด์ของบริษัทจะมีศักยภาพการเติบโตต่อไปได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ราคาหุ้นในกระดานจะเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่กระบวนการทำเทนเดอร์จะยังคงเดินหน้าต่อไป” นายพิชญ์ กล่าว
          ขณะที่ล่าสุด แม้เข้ามาเก็บหุ้นและวอร์แรนต์เพิ่มเติมจนมีสัดส่วนการถือครองหุ้นสูงกว่าอดีตอยู่มาก แต่ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายในใจว่า สุดท้ายแล้วต้องการเก็บหุ้น JAS ไปถึงจำนวนมากเพียงใด หรือจะได้หุ้นเท่าไหร่ เพราะส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับทางผู้ถือหุ้นด้วยว่าจะตัดสินใจนำหุ้น JAS ออกมาขายหุ้นในช่วงทำเทนเดอร์หรือไม่
          นอกจากนี้ การทำเทนเดอร์ซื้อหุ้นและการเข้าเก็บหุ้นยังได้ประโยชน์จากผลตอบแทนจากเงินปันผล เพราะส่วนตัวแล้วเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจ JAS จะมีโอกาสเติบโตมั่นคงในอนาคต หลังจากเล็งเห็นโอกาสธุรกิจ และฐานลูกค้าธุรกิจบรอดแบนด์ที่มีอยู่ในอุตสาหกรรมให้ JAS เจาะตลาดอีกมาก ดังนั้น เมื่อธุรกิจเติบโตย่อมส่งผลให้กำไร JAS ดีตาม และในฐานะผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนคืนกลับมาด้วยเช่นกัน
          “ผมยังมั่นใจในธุรกิจบรอดแบนด์ของบริษัท ถึงแม้บางคนอาจจะมองธุรกิจนี้ คือ เรดโอเชี่ยน แต่สำหรับผมแล้วกลับมองเป็นบลูโอเชี่ยน เพราะยังคงมีตลาดและมีกลุ่มลูกค้าบรอดแบนด์ให้เจาะตลาดได้อีกมาก เมื่อตลาดยังมีศักยภาพเติบโตและบริษัทมีกำไร ผมเองหนึ่งในผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลตอบแทนด้วยเช่นกัน” นายพิชญ์ กล่าว
          ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. เปิดเผยการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ (246-2) พบว่า นายพิชญ์ โพธารามิก เข้าซื้อหุ้นJAS เมื่อวันจันทร์ที่ 19 ก.ย. 2559 จำนวน 1,746,299,400 ล้านหุ้น ในอัตราหุ้นละ 7.25 บาท หรือคิดเป็น 29.42%
          โดยการซื้อหุ้นดังกล่าว ทำให้นายพิชญ์เข้าถือหุ้นใน JAS เพิ่มขึ้นเป็น 60.49% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด นอกจากนี้ นายพิชญ์ยังเข้าซื้อ JAS-W3 อีกจำนวน 649,996,600 ล้านหุ้น ในอัตราหุ้นละ 3.68 บาท หรือคิดเป็น 12.06% จึงส่งผลให้นายพิชญ์เองได้เข้าถือครอง JAS-W3 แล้ว 22.33%
          :นำหุ้นซื้อคืน 1,200 ล้านหุ้นลดทุน
          นายพิชญ์ เปิดเผยอีกว่า กรณีที่บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับสองในปัจจุบัน หลังจากบริษัทได้ซื้อหุ้นคืนในราคา 5 บาท จากผู้ถือหุ้น จำนวน 1,200 ล้านหุ้น เท่ากับคิดเป็น 16.82% ของโครงสร้างผู้ถือหุ้น JAS ซึ่งหุ้นที่ซื้อคืนในส่วนนี้ มีแผนนำมาตัดลดทุนจดทะเบียนทั้งหมด
          ดังนั้น จึงจะเหมือนกับในช่วงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทางบริษัทได้เคยประกาศซื้อหุ้นคืน และสุดท้ายแล้วได้นำมาตัดลดทุนจดทะเบียนภายหลัง ซึ่งหุ้นที่ซื้อคืนล่าสุด 1,200 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 16.82% ทาง JAS จะตัดสินใจเลือกนำมาตัดลดทุนจดทะเบียนเหมือนเดิมเช่นกัน
          ทั้งนี้ จากการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้น JAS ที่แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ประจำงวดวันที่ 7 ก.ค. 2559 ระบุว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง คือ นายพิชญ์ โพธารามิก มีหุ้นรวม 1,844,046,870 หุ้น คิดเป็น25.84% อันดับสอง บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) มีหุ้นรวม 1,200,000,000 หุ้น คิดเป็น 16.82% และอันดับสาม บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด มีหุ้นรวม 393,213,417 หุ้น หรือคิดเป็น 5.51%
          *ย้ำไม่มีแผนขายหุ้นหรือควบรวม
          ส่วนกรณีกระแสข่าวจะขายหุ้นที่ถืออยู่หลังทำเทนเดอร์แล้ว ให้กับผู้ประกอบการต่างชาติหรือโอเปอเรเตอร์ในไทย รวมถึงอาจเปิดทางสู่การควบรวมบริษัทอื่น นายพิชญ์ กล่าวยืนยันว่า จะไม่มีแผนการขายหุ้นออกมาภายหลังให้กับกลุ่มผู้ประกอบการหรือนำบริษัทไปควบรวมกับใครทั้งสิ้นอย่างแน่นอน
          ดังนั้น จึงพร้อมที่จะถือครองหุ้น JAS และเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปตามปกติ รวมถึงยืนยันจะไม่มีการนำ JAS ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯในภายหลัง ซึ่งเป็นไปตามที่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการผ่านตลท. เพราะการที่ JAS เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้บริษัทยังได้ประโยชน์หลายอย่าง
          ขณะที่กรณีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินสำหรับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทภายในวงเงินไม่เกิน 42,500 ล้านบาท ตนได้ใช้สินทรัพย์ที่เป็นหุ้น JAS ที่มีอยู่ในมือแล้วตั้งแต่แรก และหุ้นที่เข้าซื้อเพิ่มเติมในภายหลังเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้
          โดยดีลเทนเดอร์นี้เกิดขึ้นมาจากความต้องการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นของตนเอง ซึ่งได้มีการพูดคุยร่วมกันทั้งระหว่างทางบรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป ในฐานะที่ปรึกษา และธนาคารไทยพาณิชย์ จนได้ข้อสรุปและกลายเป็นที่มาของการเดินหน้าทำเทนเดอร์หุ้นสามัญ JAS และวอร์แรนต์ (JAS-W3) พร้อมกับประกาศแจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯอย่างเป็นทางการ
          *JAS เข้าประมูล 4G ในอนาคตได้
          นายพิชญ์ กล่าวยืนยันอีกว่า แม้การประมูลใบอนุญาต 4G ช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัทจะยอมทิ้งใบอนุญาต 4G คลื่น 900 MHz ไป แต่บริษัทไม่ได้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์ใดๆ จากทางภาครัฐทั้งสิ้น และ JAS ยังสามารถเดินหน้าเข้าร่วมประมูลรอบใหม่ได้ หากทางภาครัฐเปิดประมูลขึ้นมาในอนาคต
          อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่มีข้อสรุปขณะนี้ว่า หากเกิดการประมูล 4G รอบใหม่ขึ้นมา ทาง JAS เองจะตัดสินใจเข้าร่วมประมูลด้วยหรือไม่ เพราะถือเป็นเรื่องในอนาคตที่ต้องรอดูประเมินความเหมาะสมภายหลัง เพราะปัจจุบันมีความต้องการมุ่งเน้นเดินหน้าทำตลาดและขยายธุรกิจบรอดแบนด์ให้เติบโตได้ต่อเนื่อง
          ด้านการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้น JAS และ JAS-W3 ล่าสุดในวานนี้ (21 ก.ย.) พบว่า ราคาหุ้นยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นและได้รับแรงเก็งกำไรหนาแน่นต่อเนื่อง โดยหุ้น JAS ทำราคาเปิดการซื้อขายที่ระดับเทนเดอร์ 7.25 บาท จากนั้นทยอยทำราคาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนทำจุดสูงสุดของวันที่ 7.70 บาท และปิดการซื้อขายที่ 7.40 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.15 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.07% มีมูลค่าการซื้อขายตลอดวันทั้งสิ้น 2,858 ล้านบาท
          ส่วนหุ้น JAS-W3 ได้รับแรงซื้อเข้ามาหนาแน่น โดยทำราคาเปิดที่ระดับเทนเดอร์เช่นกันที่ 3.68 บาท จากนั้นทยอยปรับเพิ่มขึ้นจนสู่จุดสูงสุดของวันที่ 4.06 บาท และปิดการซื้อขายที่ 3.78 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.72% เมื่อเทียบราคาปิดก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้น 1,166 ล้านบาท