เมื่อตลาดหุ้นมีแรงกดดันเข้ามาทำให้รู้ว่าหุ้นบลูชิพยังคงโดนเทขายออกมาเรื่อยๆ ซึ่งดูจากภาพรวมในส่วนของความเคลื่อนไหวดัชนี SET50 ที่ปรับตัวลง โดยวันที่ 31 ก.ค. 58 ดัชนีปิดที่ระดับ 950.42 จุด ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ดัชนีปิดที่ระดับ 905.68 จุด ดัชนีปรับตัวลง 44.74 จุด หรือสัดส่วนลดลงไป 4.71%
          สถานการณ์ข้างต้นทำให้นักลงทุนทุกฝ่ายต่างเทขายหุ้นในกลุ่ม SET50 ออกมาช่วงเดือนสิงหาคม 2558 กันอย่างไม่คาดคิด และไม่สนใจว่าเป็นหุ้นพื้นฐานหรือไม่ จึงทำให้หุ้นในกลุ่ม SET50 หมดเสน่ห์ไปชั่วขณะ และหันไปเล่นเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กมากขึ้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง แต่ผลกระทบดังกล่าวเป็นแค่ระยะสั้นๆ เพราะหลังจากนั้นนักลงทุนกลุ่มต่างๆ ก็เข้ามาไล่ซื้อหุ้นอีกครั้ง
          “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นเด่นหุ้นดิ่งในกลุ่ม SET50 เพื่อประมวลภาพกว้างๆ ให้นักลงทุนรู้ว่า หุ้นตัวไหนได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ และหุ้นตัวไหนที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่สบายใจ จนนำไปสู่การเทขายอย่างหนัก โดยข้อมูลที่ได้ตอนนี้คือ มีหุ้นปรับตัวขึ้น 19 ตัว และปรับตัวลง 31 ตัว
          โดยหุ้นที่ปรับตัวขึ้น อาทิ HMPRO, BH, JAS, GLOW, DELTA, TOP, CPALL, PS, ITD, CBG, KTB, EGCO, BEC, M, BCP, CK, TPIPL, KBANK และ TMB
          ส่วนราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมากว่า 10% มีอยู่ 4 ตัว อันดับแรก บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 6.25 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 7.30 บาท ปรับตัวขึ้น 1.05 บาท หรือเพิ่มขึ้น 16.80% มีผลตอบรับอย่างดีจากผลการดำเนินในช่วงไตรมาส 2 ที่เติบโตแข็งแกร่งขึ้นมากในช่วงเดียวของปีก่อน นอกจากนี้ "โฮมโปร" มีการบุกหนักในครึ่งปีหลังด้วยการเดินหน้าขยายสาขา โฮมโปร อมตะนคร สาขาที่ 76
          อันดับสอง บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 204 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 231 บาท ปรับตัวขึ้น 27 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13.24% เป็นการไล่ซื้อที่บริษัททำผลงานดีเกินคาด โดยผลประกอบการครึ่งปีแรกแข็งแกร่งจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ครึ่งปีหลังจะแข็งแกร่งต่อ
          อันดับสาม บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 5 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 5.65 บาท ปรับตัวขึ้น 0.65 บาท หรือเพิ่มขึ้น 13% ประเด็นหลักมาจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้มีเรื่อง กสทช.เปิดให้ผู้สนใจรับเอกสารประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz แล้วมีผู้ประกอบการอย่าง JAS เข้ามาขอรับเอกสารทำให้ราคาหุ้นวิ่งต่อเนื่อง
          อันดับสี่ บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) หรือ GLOW  วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 89.25 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 98.75 บาท ปรับตัวขึ้น 9.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 10.64% โดยการปรับตัวขึ้นอาจเป็นการเข้าซื้อของนักลงทุนในการรอรับปันผล
          เหล่านี้เป็นตัวอย่างของหุ้นที่สามารถพลิกจากสถานการณ์ร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่าลืมว่า การลงทุนในตลาดหุ้นมักอิงกับกระแสข่าวปัจจุบันมากกว่า หลังจากนั้นค่อยอิงกับปัจจัยพื้นฐาน
          ส่วนหุ้นที่ปรับตัวลงแรง อาทิ PTT, IVL, BANPU, PTTEP, THCOM, TRUE, IRPC, MINT, CPF, SCC, TUF, WHA, SCB, AOT, INTUCH, TCAP, CENTEL, ADVANC, CPN, BA, BMCL, DTAC, BDMS, ROBINS, PTTGC, LH, SAWAD, BTS, RATCH, BBL และ TTW
          หุ้นที่ปรับตัวลงแรงเกิน 15% มีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว อันดับแรก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 326 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 268 บาท ปรับตัวลง 58 บาท หรือลงไป 17.79% เป็นที่รู้กันดีว่าราคาหุ้นโดนเทขายโดยมีแรงกดดันจากราคาน้ำมันโลกที่ลดลง
          อันดับสอง บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL  วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 26.50 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 21.80 บาท ปรับตัวลง 4.70 บาท หรือลงไป 17.74% อาจเป็นการเทขายทำกำไรของนักลงทุนในช่วงที่ภาวะตลาดยังอ่อนตัว ทั้งที่ผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่งอยู่
          อันดับสาม บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU วันที่ 31 ก.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 25 บาท ขณะที่วันที่ 31 ส.ค. 58 ราคาหุ้นอยู่ที่ 20.60 บาท ปรับตัวลง 4.40 บาท หรือลงไป 17.60% อาจโดนเทขายจากการที่ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอย่างหนัก
          การปรับตัวลงของราคาหุ้นมักมีกระแสข่าวด้านลบออกมา ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นแบบไม่คิด
          ข้อมูลทั้งสองด้านเป็นเพียงการนำเสนอให้รู้ถึงพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนต่อหุ้นบลูชิพ !!